
การเขียน Sale Page ฉบับ Copy Writing แบบมืออาชีพ
สวัสดีครับ เหล่านักเขียนคอนเทนต์ทุกท่าน ในคอนเทนต์ฉบับก่อน ๆ ที่ผมได้เคยนำเสนอไปแล้ว นั้นคือ คอนเทนต์เกี่ยวกับเทคนิคในการเขียน 7 จังหวะการเขียนคอนเทนต์ขั้นเทพเพื่อการตลาดออนไลน์ หากใครยังไม่เคยอ่าน สามารถลองไปตามอ่านกันได้นะครับ ส่วนในคอนเทนต์นี้จะเป็นการสอนการเป็น นักเขียน Sale Page ฉบับ Copy Writing แบบมืออาชีพ แต่ก่อนจะเป็นนักเขียน Sale Page คุณจะต้องรู้จักอะไรก่อน มาดูกันเลยครับ
เคยได้ยินไหม? “คำ คือพลังอันยิ่งใหญ่ของโลกใบนี้”
ทุกคนลองหาคำตอบของตัวเองดูสิครับ ว่า “คำมีพลังอย่างไร?”
คำ (word) เป็นสิ่งที่มีความหมาย ถูกใช้เพื่อสื่อความรู้สึกของผู้สื่อสารไปยังผู้รับสาร และคำยังเป็นส่วนประกอบหลักของการสื่อสารทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเขียน หรือการพูด โดยเรานั้นสามารถมองเห็นตัวอย่างได้จากสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัว เช่น หนังสือสร้างแรงบันดาลใจ คอนเทนต์ หรือคำคมบนโซเชียล พอดแคสต์สอนประสบการณ์ชีวิต ฯ
จากตัวอย่างจึงแสดงให้ทุกคนเห็นได้ว่า คำนั้นมีพลังในการสร้างผลกระทบด้านความรู้สึกต่อผู้รับสาร โดยที่ความหมายของคำยังสามารถมีได้ทั้งแง่ลบและแง่บวก คำจึงเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดอารมณ์ต่าง ๆ ภายในจิตใจของผู้รับสาร และทำให้ผู้รับสารรู้สึกคล้อยตามได้ โดยไม่ต้องบังคับด้วยปัจจัยภายนอกอะไรเลย
ถึงตรงนี้ คุณตอบคำถามได้หรือไม่ว่า
ทำไมเราต้องพิถีพิถันในการเลือกใช้คำ
จากความหมายข้างต้น จะทำให้สรุปได้ว่า เพราะคำมีผลกระทบต่ออารมณ์ ความรู้สึกของผู้รับสารได้ทั้งในแง่ลบ และแง่บวก เมื่อคุณรู้อย่างนี้แล้ว ในการเขียนคอนเทนต์บน Sale page ในหัวข้อถัดไปของคุณ จึงควรจะเลือกใช้คำในแง่บวกถึงจะเป็นผลดีต่อการเขียน Sale page ของคุณ จริงไหมครับ?
แล้วในด้านการเขียน Sale Page ของคุณนั้น ควรจะเริ่มต้นเขียนแบบไหนดี จากนี้ผมจะช่วยให้คุณจับต้นชนปลายให้ถูกด้วย หลักการสำคัญของการเขียน Sale Page เองครับ

หลักการสำคัญของการเขียน Sale Page
1.) เขียน Sale Page อย่างไรให้ผู้อ่านอยากอ่านบรรทัดถัดไป
การเริ่มเขียน Sale Page ที่ดี ควรเริ่มต้นจากการเขียนออกมาแล้วอ่านง่าย จะรู้ได้อย่างไรว่า Sale Page ที่คุณเขียนออกมาอ่านยาก หรืออ่านง่าย คุณลองมองในมุมมองของผู้อ่านดูครับ ว่า Sale Page ของคุณเป็นไปตามข้อสังเกตเหล่านี้หรือไม่
- มีการจัดระเบียบของย่อหน้า
- มีการเว้นวรรคระหว่างบรรทัดและระหว่างประโยค
- เช็คตัวอักษร เช่น ขนาดตัวอักษรเล็กและใหญ่, ตัวพิมพ์หนาและบาง ฯ
- เช็คคำผิด พิมพ์ตก และหลักไวยกรณ์
แน่นอนเลยครับ ว่าไม่มีใครอยากอ่าน Sale Page ที่มีตัวหนังสือยาวเหยียดติดกันหลายบรรทัด โดยไม่มีการจัดย่อหน้าให้เป็นระเบียบ เพื่อให้อ่านเนื้อหาได้ง่ายมากขึ้น หรือแม้กระทั่งไม่มีการเว้นวรรคจบในทุก ๆ ประโยค
นอกจากปัญหาหลักเหล่านี้ที่สามารถสังเกตได้ง่ายแล้ว ก็ยังมีปัญหาเล็ก ๆ ที่ผู้เขียนอาจจะมองข้ามอีก เช่น คำผิด ตกคำ และหลักไวยกรณ์ที่อาจจะผิดไป
ดังนั้น เมื่อคุณเช็คแล้วเจอข้อผิดพลาด และแก้ไขการเขียน Sale Page ให้อ่านง่ายในมุมมองของผู้อ่านแล้ว คุณก็สามารถเริ่มต้นเขียนตามหลักการข้อถัดไปได้เลยครับ
2.) เขียน Sale Page อย่างไรให้ผู้อ่านเห็นภาพวิดีโอในหัว
การเขียนเนื้อหาใน Sale Page ให้เห็นภาพเป็นวิดีโอในหัวได้นั้น แท้จริงแล้วมันคือ การเขียนบรรยายเพื่ออธิบายให้ผู้อ่านเกิดมโนภาพจนสามารถจินตนาการภาพเหล่านั้นขึ้นในสมอง ส่วนใหญ่การเขียนที่ทำให้ผู้อ่านเกิดจินตนาการได้ดีมักเป็นการเขียนประเภทนิยาย ซึ่งมีความสามารถในการโน้มน้าวได้ดีและทำให้ผู้อ่านคล้อยตามได้ง่ายที่สุด
นักเขียน Sale Page เริ่มต้น สามารถฝึกทักษะการเขียนได้ตามได้เลยนะครับ ผมทราบดีว่าถ้าหากทุกคนได้ฝึกตามหลักการเหล่านี้ไปเรื่อย ๆ ด้วยความสม่ำเสมอ ทุกคนจะต้องเขียน Sale page ได้เก่งขึ้นอย่างแน่นอนครับ
นอกจากจะเขียนถูกหลักแล้ว สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ การเขียนที่สามารถโน้มน้าวผู้อ่านให้เป็นไปตามที่เราต้องการได้นะครับ ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นการเขียน Sale page ที่ประสบความสำเร็จ ถึงแม้ว่าเป้าหมายในการเขียนของทุกคนจะไม่เท่ากัน แต่หากการเขียน Sale page ไม่สามารถโน้มน้าวใจผู้อ่านได้เลย ก็ไม่ถือว่าเป็นการเขียน Sale page ที่มีประโยชน์ต่อคุณนะครับ เราจึงต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า การโน้มน้าวใจที่ดีได้จะเป็นอย่างไร
นักเขียน Sale page ทราบกันไหมครับว่า การโน้มน้าวให้ลึกถึงจิตใจนั้นมีถึง 3 ระดับ

การโน้มน้าวให้ลึกถึงจิตใจ 3 ระดับ
ระดับที่ 1. ขั้นตรรกะ
เป็นการโน้มน้าวผู้อ่านด้วยการใช้เหตุผลประกอบข้อมูลที่นำเสนอ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และทำให้ผู้อ่านรู้สึกคล้อยตามนักเขียนได้ โดยเหตุผลนั้นจะต้องมีความสมเหตุสมผล มีหลักฐาน และสามารถพิสูจน์ได้ ผู้อ่านจึงจะเกิดการยอมรับในคอนเทนต์และเกิดความศรัทธาตัวนักเขียนตามมา
ระดับที่ 2. ขั้นอารมณ์
เป็นการโน้มน้าวผู้อ่านโดยใช้ทั้งเหตุผลผนวกกับการกระตุ้นอารมณ์ และความรู้สึกเห็นด้วยในเชิงลึก ซึ่งเป็นขั้นที่มีความซับซ้อนมากขึ้นเมื่อเทียบกับระดับที่ 1 โดยจะใช้การบรรยายและคำที่ทำให้ผู้อ่านเห็นภาพตามภายในจิตใจ สร้างความประทับใจ และสร้างศรัทธา เพื่อให้ผู้อ่านคล้อยตามได้ในที่สุด
เช่น การทำให้ผู้ที่มีประสบการณ์ในชีวิตสูงเชื่อในคอนเทนต์ที่เขียน คุณจะต้องใช้การนำเสนอด้วยเหตุผลที่สมเหตุสมผลร่วมกับทักษะในการบรรยายเพื่อที่จะละลายทิฐิของผู้อ่าน และทำให้เกิดศรัทธาในเรื่องที่คุณเขียนออกมา เป็นต้น
ระดับที่ 3. ขั้นสัญชาตญาณ
เป็นการโน้มน้าวใจผ่านการกระตุ้นสัญชาตญาณของผู้อ่าน ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในระดับสูงทางจิตใจ อาจเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ เช่น ความกลัว ค่านิยม หรือความเชื่อทางศาสนา โดยใช้เรื่องเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการโน้มน้าวและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคอนเทนต์ของคุณ
เช่น การเขียนคอนเทนต์รีวิวอาหาร นักเขียนบรรยายเกี่ยวกับอาหารจานหนึ่งอย่างละเอียด กระตุ้นทำให้ผู้อ่านเกิดภาพจินตนาการของอาหารจานนั้น และความต้องการอยากทานเป็นอย่างมาก ทำให้ผู้อ่านรู้สึกหิวจนต้องหาที่อยู่ของร้านเพื่อจะตามไปทานตามที่นักเขียนท่านนั้นรีวิว เป็นต้น
เมื่อได้เรียนรู้การโน้มน้าวให้ลึกถึงจิตใจ 3 ระดับแล้ว เพื่อการโน้มน้าวผู้อ่านให้เข้าถึงเนื้อหาของคุณได้มากขึ้น คุณควรได้รู้เรื่อง 5 Emotional การเขียนกระตุ้นอารมณ์ ร่วมกันไปด้วย

5 Emotional การเขียนกระตุ้นอารมณ์
คือการเขียน Sale page โดยมีเป้าหมาย เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกตามประเภทการเขียน และทำให้ผู้อ่านเห็นด้วยไปจนถึงคล้อยตาม เป็นระหว่างทางในการทำให้ผู้อ่านเกิดความเชื่อในการเขียนของคุณนั่นเอง
1.) Fun เกิดความสนุกสนาน
2.) Motivation เกิดแรงบันดาลใจ
3.) Wow เกิดความประหลาดใจ
4.) Touching เกิดความซึ้งกินใจ
5.) Angry เกิดโทสะ
การเขียน Sale page ที่สามารถทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์เหล่านี้ได้ มีแนวโน้มที่จะช่วยโน้มน้าวให้ผู้อ่านรู้สึกคล้อยตามมากขึ้น และรู้สึกอยากอ่านไปจนจบ Sale page ได้นะครับ
เอาล่ะครับ เรารู้จักองค์ประกอบการเขียน Sale page กันไปแล้ว ขั้นต่อไปเป็นเรื่องที่นักเขียน Sale page เพื่อการเขียนโฆษณา หรือ Copy Writing จำเป็นต้องทราบเลยนะครับ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

การเขียนโฆษณา Copy Writing แบ่งออกเป็น 2 ประเภท

โดยข้อแตกต่างระหว่าง 2 ประเภทนี้คือ
BRANDING
เป็นการเขียนโฆษณาเพื่อสร้างการขาย เน้นการสร้างความน่าเชื่อถือ และภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ ด้วยการใช้กลยุทธ์การขยายอาณาเขตการรับรู้แบรนด์ ทำให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจและความสนใจในแบรนด์ โดยการทำวิธีเหล่านั้น จะเป็นการช่วยสร้างความต้องการในการซื้อสินค้า หรือบริการจากผู้อ่านเอง และยังเป็นการสร้างพื้นฐานแข็งแกร่งสำหรับการขายในอนาคตด้วย
โดยจะวัดผลจากการเข้าถึงสื่อและงบประมาณสำหรับการทำโฆษณา เน้นให้ผู้อ่านเกิดความประทับใจและความเข้าใจเกี่ยวกับแบรนด์ โดยที่แบรนด์ก็ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของลูกค้า ด้วยการติดตามและสำรวจพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายแล้วจึงนำข้อมูลดังกล่าวมาปรับปรุงและพัฒนาแบรนด์ต่อไปให้เข้ากับความต้องการของตลาดในระยะยาว
DIRECT – RESPONSE
ถ้าให้มองง่าย ๆ ก็คือ การขายตรง เป็นการเขียนโฆษณาเพื่อการเสนอขายในตอนนั้นโดยทันที มุ่งเน้นการสร้างยอดขาย เจาะกลุ่มลูกค้าที่บุคคลและโน้มน้าวด้วยการให้ข้อเสนอที่ต้องรีบตัดสินใจในทันที วัดผลจากกำไรที่ได้จากการเสนอขาย เน้นโชว์ภาพลักษณ์และเซอร์วิสที่โผงผาง เพื่อสร้างยอดขาย ซึ่งการขายลักษณะนี้สามารถขายได้จริงแต่ไม่สามารถใช้เพื่อเป็นวิธีการขายของให้ลูกค้าในระยะยาวได้

เทคนิคการเขียน 1 โฆษณาต้องโฟกัส 1 แก่น
1 โฆษณามี 1 วัตถุประสงค์
1 การเขียนเพื่อ 1 กลุ่มเป้าหมาย
สิ่งสำคัญของเทคนิคการเขียนนี้ คือ การเขียนอย่างต่อเนื่องและการโฟกัสแก่น
เช่น คุณเป็นนักเขียนเกี่ยวกับอาหารเสริม ต้องการขายน้ำมันตับปลาและโปรตีน คุณก็ต้องเขียน Sale Page เรื่อง น้ำมันตับปลา เพื่อลูกค้าที่ต้องการซื้อน้ำมันตับปลา และเขียน Sale Page เรื่องโปรตีน เพื่อลูกค้าที่ต้องการซื้อโปรตีน เป็นต้น
เพราะการเขียน Sale Page ที่ดีควรเจาะจงไปยัง 1 กลุ่มเป้าหมายเท่านั้น เมื่อต้องการขายกลุ่มเป้าหมายใหม่ก็ควรเขียน Sale Page เพิ่ม เพื่อให้ข้อมูลเข้าถึงเฉพาะกลุ่มเป้าหมายได้ดีและเพิ่มโอกาสในการขายได้มากขึ้น

เรียงลำดับสิ่งดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน
100% Picture ภาพ
นอกจากภาพจะช่วยดึงดูดสายตาเป็นอันดับแรกแล้ว ภาพยังเป็นสิ่งแรกที่ผู้อ่านจะให้ความสนใจนอกจากเนื้อหาอีกด้วย เพราะโดยปกติแล้วก่อนผู้อ่านจะเข้าไปอ่านเนื้อหา ภาพปกจะเป็นสิ่งแรกที่ผู้อ่านเห็นเมื่อคลิกลิงค์ ดังนั้น ภาพควรมีความโดดเด่นและดึงดูดสายตาได้มากที่สุด
80% Headline หัวข้อดึงดูดความสนใจ
Headline เป็นสิ่งที่ควรจะสื่อถึงเนื้อหาได้ตรงประเด็น เพราะผู้อ่านจะมองหาชื่อที่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เขาอยากอ่านมากที่สุด โดย Headline ควรจะมี symbol หรืออักขระพิเศษ เพื่อดึงดูดสายตาของผู้อ่านด้วย จะเห็นได้จากการพาดหัวข่าวเด็ด และที่สำคัญ Headline ไม่จำเป็นต้องสั้นเสมอไป จะเป็นชื่อที่มีความยาวก็ได้ ขอเพียงมีความน่าสนใจดึงดูดผู้อ่านได้ก็เพียงพอ
60% Caption คำโปรยน่าติดตามและน่าสนใจ
คำโปรยเป็นชุดข้อความ หรือประโยคที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลัก อ่านแล้วสะดุดใจ ไม่น่าเบื่อ
50% Sub Head แทรกข้อความเด่นหรือคำคม
Sub Head มีไว้เพื่อพักสายตาผู้อ่าน โดยอาจขั้นอยู่ระหว่างเนื้อหากับเนื้อหาถัดไป เช่น คำถาม คำคม สุภาษิต
25% Bottom Page ปุ่มติดต่อ (Call to Action)
Bottom Page คือ ส่วนที่อยู่ใต้เพจ เป็นส่วนสำคัญที่สุดของ Copy Writing แบบ Direct Response โดยเป็นการเขียนสรุปเนื้อหาเพื่อให้ผู้อ่านฉุกคิดและตามด้วยประโยคส่งต่อ เช่น คลิกไปที่เว็บไซต์เพื่อศึกษาข้อมูลฟรี, เรียนรู้เพิ่มเติมคลิกได้ที่เว็ปไซต์นี้, กดเพิ่มเพื่อนก่อนหมดโปร คลิกลิงค์ดูก่อนโดนลบเป็นต้น
โดยจากการสังเกตจะมีคำที่คล้ายคำสั่ง เช่นคำว่า “คลิก” , “ดูเลย” หรือ”ดูก่อนโดนลบ” เพราะการทำแบบนี้ มีเปอร์เซ็นต์จะทำให้คนคลิกสูงถึง 25% และนำไปสู่การปิดการขายได้ ซึ่งเทคนิคนี้เป็นการบังคับให้ผู้อ่านทำตาม โดยเสนอทางเลือกพร้อมกับบอกประโยชน์ที่เขาจะได้รับและจำกัดเวลาพร้อมกับเงื่อนไขให้ผู้อ่านต้องรีบตัดสินใจเลือก
5% Content เนื้อหา
เนื้อหาเป็นส่วนสุดท้ายที่ดึงดูดผู้อ่าน ดังนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องเนื้อหา ถ้าส่วนอื่นดีก็มีโอกาสที่จะทำให้เป้าหมายของการเขียน Sale Page ประสบความสำเร็จได้แล้ว
เห็นไหมครับว่าในสายตาของผู้อ่านมีอะไรเป็นสิ่งแรกที่สามารถดึงดูดความสนใจให้ผู้อ่านได้ แต่ก็ใช่ว่าส่วนอื่น ๆ ที่มีลำดับการดึงดูดความสนใจรองลงมาจะไม่มีความสำคัญโดยสิ้นเชิงนะครับ เพราะในบางครั้งต่อให้มีภาพดึงดูดความสนใจเลิศเลอเท่าไหร่ แต่เนื้อหาภายในไม่สามารถทำให้ผู้อ่านอ่านจนจบการเขียน Sale Page ได้ ก็ไม่สามารถขายสินค้าและบริการได้อยู่ดี ดังนั้น ในการเขียน Sale Page ก็ควรให้ความสำคัญในทุก ๆ ส่วนเท่ากันนะครับ
การเขียนโฆษณา Copy Writing ที่สมบูรณ์ ประกอบไปด้วย
1.) Headline จุดเริ่มต้นของเรื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
2.) Content เนื้อหาที่อยู่ในบทความไม่เด่นแต่ก็สำคัญ อาจใช้เทคนิคการเล่าเรื่องให้สอดคล้องกับ Headline
3.) Benefit ในส่วนนี้จะเป็นส่วนสำคัญ และเป็นส่วนที่เน้นด้านการขายสินค้าและบริการ
4.) Proof เป็นการพิสูจน์ โดยแสดงหลักฐานต่าง ๆ
5.) Offer ข้อเสนอด้านการขาย เช่น ราคาพิเศษ กำหนดเงื่อนไข
6.) Call to Action ช่องทางการติดต่อสอบถาม
เทคนิคการเขียนโฆษณา Copy Writing นี้ ทุกคนสามารถนำไปใช้เป็นหลักประกอบการเขียน Sale Page ของทุกคนได้เลยนะครับ รับรองว่าหากมีครบทุกขั้นตอนนี้ลูกค้าจากผู้อ่านไม่หนีไปไหนอย่างแน่นอน
จริง ๆ แล้วสูตรการเขียน Copy Writing ในปัจจุบันนี้มีอยู่หลายสูตรเลยนะครับ แต่ที่ผมจะนำมาแนะนำของทุกคนนี้ เป็นสูตรที่ได้รับการพิสูจน์ผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน นั่นคือ สูตรการเขียน Copy Writing The Aida Model

สูตรการเขียน Copy Writing The Aida Model
A Awareness การเขียน
I Interest สร้างความสนใจ
D Desire การสร้างความต้องการ
A Action Call to Action
สูตรนี้มีองค์ประกอบคล้ายกับสูตรก่อนหน้านะครับ แต่อย่างไรก็ตาม ทุกการเขียน Sale Page ไม่ได้มีกฎตายตัว ขึ้นอยู่กับผู้เขียนว่าจะเลือกยึดถือหลักไหนและใช้วิธีใดในการปรับใช้ให้เหมาะสมกับสไตล์การเขียน Sale Page ของตนเอง ทุกคนเองก็ลองฝึกเขียนและเลือกวิธีที่คิดว่าเหมาะสมกับการเขียน Sale Page ของทุกคนดูนะครับ
และอีกเทคนิคหนึ่งที่ผมอยากจะแนะนำมากที่สุด นั้นคือ Fact is Tell Story is Sale เพราะจากการที่ผมจัดการบรรยายมา ผมพบว่าทุกคนจะมีความสามารถในการเล่าเรื่องราว แล้วผู้ฟังสามารถคิดภาพตามได้ ผมจึงคิดว่าเทคนิคนี้เป็นอีกเทคนิคหนึ่งที่น่าจะมีประโยชน์มากเลยทีเดียว
Fact is Tell Story is Sale
เทคนิคนี้ก็เป็นการเขียนเรื่องราวให้เห็นภาพเป็นวิดีโอ แล้วกระตุ้นให้เกิดความต้องการซื้อ ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมมาก เนื่องจากเป็นการเล่าเรื่องราวให้เกิดภาพภายในหัว ผนวกกับเรื่องราวที่ผู้อ่านมี จึงทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกคล้อยตามและเห็นด้วยไปกับผู้เขียนได้ง่าย เป็นการง่ายต่อการชักจูงให้ผู้อ่านเกิดความสนใจในสินค้าและบริการของเราครับ
5 เทคนิค สร้างคำทรงพลัง สร้าง Dynamic
1.) Surprise
เป็นคำสร้างความประหลาดใจ เช่น “ไม่น่าเชื่อ” , “สุดยอด” , ” ! ” , “ว้าว” , “อุ้ย” , “จริงๆแล้ว” , “นี่ไง” , “จริงสิ” , “น่าแปลกใจ” ฯ
2.) Contrast
เป็นคำให้ความรู้สึกขัดแย้งกัน แต่ก็สร้างความประทับใจ เช่น “ทั้ง ๆ ที่อยากจะเกลียด แต่ฉันกลับรักคุณ”
3.) Action
เป็นคำกริยา บ่งบอกการกระทำ และทำให้เห็นภาพได้ชัดเจน เช่น “จงเงยหน้าแล้วเดินต่อไป น้ำตาจะไม่ไหล”
4.) Respect
เป็นคำซ้ำ สามารถถ่ายทอดความรู้สึกได้ดี สร้างความตราตรึง ใช้ได้แม้กระทั่งเนื้อเพลง เช่น “ทิวลิบบานแล้ว บานแล้ว”
5.) Excited
เป็นคำสร้างความตื่นเต้น เช่น “มีแค่พวกคุณเท่านั้นที่รู้” “ผมไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อน”

การเขียนปิดการขายอย่างมีชั้นเชิง
1.) ดู Profile ลูกค้า หาจุดเชื่อม
เป็นการหาจุดร่วมจากข้อมูลของผู้อ่าน และนำข้อมูลมาประกอบการเสนอขาย ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือได้
2.) ควบคุมลูกค้าด้วยการตั้งคำถาม
ผู้เขียน หรือผู้ขายต้องเป็นผู้ตั้งคำถาม ทางเลือก ควบคุมและตีกรอบการสนทนา
3.) ขาย ราคา ซื้อ ผ่อน มัดจำ
การพูดเรื่องการขาย เสนอทางเลือกในการจ่ายให้กับลูกค้า
4.) จ่ายเงินก้อนแรกให้ไวที่สุด
ในกรณีที่เป็นสินค้าที่สามารถผ่อนได้ ต้องโน้มน้าวให้ลูกค้าจ่ายเงินก้อนแรกเพื่อเป็นการมัดจำให้เร็วที่สุด
5.) อ้างถึงบุคคลที่ 3
เช่น ในสถานการณ์ที่ลูกค้ายังมีความลังเล ให้ยกตัวอย่างบุคคลที่ 3 ว่าซื้อแล้วเขาได้ประโยชน์อย่างไร เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการได้
6.) ทำให้รู้สึกว่าลูกค้าได้มากกว่าสิ่งที่ควรจะได้
เช่น แจก E- Book หนังสือ ของแถม และของสัมมนาคุณ

เอาล่ะครับ ผมได้บอกหลักการเขียน Sale Page และเทคนิคมากมายในการเขียนโฆษณา หรือ Copy Writing ไปทั้งหมดแล้ว ทุกคนลองนำสิ่งที่ได้จากการเรียนรู้เหล่านี้ไปลองฝึกใช้กับการเขียน Sale Page ของตัวเองกันดูนะครับ และอย่าลืมว่า ถ้าหากการเขียน Sale Page ออกมาไม่ตรงตามเป้าหมาย อย่าย่อท้อนะครับ เขียนอีกครั้ง และเขียนต่อไปเรื่อย ๆ เพราะเมื่อเรามองเห็นและแก้ไขข้อผิดพลาดซ้ำไปซ้ำมา มันคือการก้าวผ่านความผิดพลาดของตนเอง และพัฒนาตัวคุณไปสู่ความสำเร็จในอนาคตได้ครับ
แต่ถ้าการเรียนรู้หลักการและเทคนิคทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ทำให้คุณคิดว่ามันยากเกินไปและคุณไม่มีเวลามากพอจะศึกษาเพื่อลงมือเขียน Sale Page ได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องกลัวครับ ผมมีทีมงานของผมที่สามารถเข้ามาช่วยเหลือคุณใน การเขียน Sale Page ฉบับ Copy Writing แบบมืออาชีพ ได้ง่าย ๆ โดยที่คุณไม่เสียเวลาและไม่ต้องออกแรงเอง
เพียงติดต่อเราได้ที่ คลิ๊ก 🔻
IMPEL MARKETING บริการให้คำปรึกษาด้านธุรกิจออนไลน์
IMPEL MARKETING จากประสบการณ์ ด้านการตลาดออนไลน์มากกว่า 10 ปี
เราจะให้คำปรึกษาถึงแก่นการทำตลาดออนไลน์ให้คุณมียอดขายถึงขีดสูงสุดในทุกประเภทสินค้าและบริการ
- รับปรึกษาการตลาดสำหรับแบรนด์
- บริการโฆษณาออนไลน์
- รับทำเว็บไซต์
- รับเขียน App และระบบ IT สำหรับธุรกิจ SME
- รับทำ Content Marketing
- รับออกแบบกราฟิก / ทำสื่อสิ่งพิมพ์
- รับตัดต่อ ถ่ายภาพ / VDO / สื่อภาพเคลื่อนไหว
- รับแปล VDO หรือเอกสารภาษาอังกฤษเป็นไทย
การันตีผลงานทีมงานด้วยประสบการณ์กว่า 10 ปีเราสร้างยอดขายให้ธุรกิจมากกว่า 10 แบรนด์ ยอดขายรวมกว่า 500 ล้านบาท