
หน้า Landing Page คือหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการทำการตลาดออนไลน์ เพราะเป็นจุดแรกที่ผู้ใช้งานเข้ามาเจอกับแบรนด์ของเรา ไม่ว่าจะมาจากการค้นหาทางธรรมชาติ (SEO) หรือจากโฆษณาที่เราลงทุน (SEM) จุดมุ่งหมายของหน้า Landing Page คือการทำให้ผู้เข้าชม “ทำบางสิ่ง” ไม่ว่าจะเป็นการสมัครสมาชิก กรอกฟอร์ม หรือซื้อสินค้า
อย่างไรก็ตาม การออกแบบหน้า Landing Page ให้รองรับทั้ง SEO และ SEM พร้อมกันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทั้งสองแนวทางมีเป้าหมายและข้อกำหนดเฉพาะตัว บทความนี้จะพาไปดูแนวทางการตั้งค่าหน้า Landing Page ให้ตอบโจทย์ทั้งสองด้าน

SEO (Search Engine Optimization) มุ่งเน้นการทำให้หน้าเว็บติดอันดับในการค้นหาแบบไม่เสียเงิน ซึ่งต้องการเนื้อหาที่มีคุณภาพ โหลดเร็ว ใช้โครงสร้างเว็บไซต์ที่เหมาะสม และตอบโจทย์การค้นหาของผู้ใช้งานจริง
SEM (Search Engine Marketing) มุ่งเน้นการลงโฆษณาผ่านแพลตฟอร์ม เช่น Google Ads โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพหน้าเว็บ (Landing Page Experience), ความเกี่ยวข้องของเนื้อหา และประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี
แนวทางตั้งค่าหน้า Landing Page ให้รองรับ SEO และ SEM
1. เนื้อหาต้องตอบโจทย์ทั้งผู้ใช้และบอท
เนื้อหาต้องครบถ้วน ชัดเจน มีหัวข้อย่อย (H1, H2, H3) ที่เป็นโครงสร้างอ่านง่าย ใช้คำค้น (Keywords) ที่เหมาะสมแบบไม่ยัดเยียด เน้นให้เข้าใจง่ายสำหรับคน และอ่านได้ดีสำหรับบอทของ Google ด้วย
2. โหลดเร็ว รองรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
ทั้ง SEO และ SEM ให้ความสำคัญกับความเร็วในการโหลดหน้า และการรองรับมือถือ (Mobile-Friendly) ควรใช้ภาพที่มีขนาดเล็กพอเหมาะ ใช้ lazy load และไม่ใช้สคริปต์ที่ทำให้เว็บช้าลง
3. มีโครงสร้าง URL ที่ชัดเจน
URL ควรสื่อถึงเนื้อหาในหน้า ใช้คำง่าย ไม่มีโค้ดหรือพารามิเตอร์ยาวๆ เช่น yourdomain.com/landing-product
แทนที่จะเป็น yourdomain.com/page?id=123
4. มีเมตาแท็กที่เขียนให้ดี
Meta Title และ Meta Description ควรเขียนให้ดึงดูดโดยใช้คีย์เวิร์ดหลัก แต่อย่าหลอกลวงผู้ใช้งาน และอย่าลืมตั้งค่า Open Graph และ Twitter Card สำหรับแชร์บนโซเชียลมีเดียด้วย
5. มี CTA ที่ชัดเจน และอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
ไม่ว่าจะทำ SEO หรือ SEM เป้าหมายของ Landing Page คือ “การกระทำ” เช่น สมัครสมาชิก หรือสั่งซื้อสินค้า ควรมีปุ่ม Call to Action (CTA) ที่มองเห็นง่าย ใช้ถ้อยคำกระตุ้นการตัดสินใจ และไม่อยู่ในจุดที่ต้องเลื่อนหานาน
6. วัดผลได้ด้วย Analytics
ติดตั้ง Google Analytics, Google Tag Manager และ Conversion Tracking เพื่อให้รู้ว่าผู้ใช้งานมาจากช่องทางใด แล้วทำอะไรในหน้าเพจ เพื่อปรับปรุงต่อได้ทั้งฝั่ง SEO และ SEM
7. ใช้ A/B Testing กับโฆษณา แต่ให้ระวังกับ SEO
การทำ A/B Testing เป็นเรื่องปกติใน SEM เพื่อทดสอบว่าเวอร์ชันไหนมี Conversion สูงกว่า แต่ถ้าเปลี่ยนเนื้อหาบ่อยๆ โดยไม่มี canonical tag หรือไม่มีแนวทางที่เหมาะสม อาจกระทบกับ SEO ได้
ข้อแนะนำเพิ่มเติม
หลีกเลี่ยง Pop-up ที่รบกวนการใช้งาน โดยเฉพาะบนมือถือ เพราะ Google อาจลดคะแนนคุณภาพหน้าเว็บ
อย่าทำ Landing Page ให้โฆษณาเท่านั้นโดยไม่มีลิงก์ภายในหรือการเชื่อมโยงกับเว็บหลักเลย เพราะจะเสียคะแนน SEO
สำหรับ SEM สามารถใช้ Dynamic Text Replacement เพื่อให้โฆษณาตรงกับข้อความในหน้า Landing Page แบบเฉพาะกลุ่ม
สรุป
การทำหน้า Landing Page ให้รองรับทั้ง SEO และ SEM ไม่ใช่การประนีประนอม แต่คือการ “ออกแบบอย่างมีกลยุทธ์” ต้องเข้าใจเป้าหมายของทั้งสองฝั่ง แล้วสร้างเพจที่โหลดเร็ว ตรงประเด็น และพร้อมเปลี่ยนผู้เข้าชมให้เป็นลูกค้าให้ได้มากที่สุด
หน้าเพจที่ดีไม่ใช่แค่เพจที่สวย แต่คือเพจที่สื่อสารได้ ตอบคำถามได้ และเปลี่ยนความสนใจให้เป็นการกระทำได้อย่างแนบเนียน
ติดต่อเราได้ที่นี่🔻
IMPEL MARKETING บริการให้คำปรึกษาด้านธุรกิจออนไลน์
IMPEL MARKETING จากประสบการณ์ ด้านการตลาดออนไลน์มากกว่า 10 ปี
เราจะให้คำปรึกษาถึงแก่นการทำตลาดออนไลน์ให้คุณมียอดขายถึงขีดสูงสุดในทุกประเภทสินค้าและบริการ
- รับปรึกษาการตลาดสำหรับแบรนด์
- บริการโฆษณาออนไลน์
- รับทำเว็บไซต์
- รับเขียน App และระบบ IT สำหรับธุรกิจ SME
- รับทำ Content Marketing
- รับออกแบบกราฟิก / ทำสื่อสิ่งพิมพ์
- รับตัดต่อ ถ่ายภาพ / VDO / สื่อภาพเคลื่อนไหว
- รับแปล VDO หรือเอกสารภาษาอังกฤษเป็นไทย
การันตีผลงานทีมงานด้วยประสบการณ์กว่า 10 ปีเราสร้างยอดขายให้ธุรกิจมากกว่า 10 แบรนด์ ยอดขายรวมกว่า 500 ล้านบาท