
การทำ SEO เปรียบเหมือนการสร้างบ้านให้ Google เข้ามาเยี่ยมชมและจัดอันดับเราให้อยู่ในทำเลดี ๆ บนหน้าผลการค้นหา
และหนึ่งในรากฐานสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามก็คือ On-Page SEO หรือการปรับแต่งเนื้อหาและโครงสร้างภายในหน้าเว็บให้สอดคล้องกับหลักของ Google
หลายคนอาจเข้าใจว่าแค่ใส่คีย์เวิร์ดก็พอ แต่ในความจริง มันมีอะไรมากกว่านั้น
บทความนี้จะพาคุณไล่เช็กทีละจุดว่า On-Page SEO ที่ดีและถูกหลัก Google ต้องทำอะไรบ้าง

On-Page SEO คือการปรับแต่ง “ภายในหน้าเว็บ” เช่น เนื้อหา โครงสร้าง HTML รูปภาพ ลิงก์ และองค์ประกอบที่ผู้ใช้และบอทของ Google มองเห็นได้ เพื่อให้เข้าใจว่าเพจนี้เกี่ยวกับอะไร และมีคุณภาพเพียงพอที่จะนำเสนอแก่ผู้ค้นหา
1. ใช้คีย์เวิร์ดหลักในตำแหน่งสำคัญ
Google ไม่ได้สนใจแค่ “ใส่คีย์เวิร์ดหรือยัง” แต่สนใจว่า “ใส่อย่างมีคุณภาพหรือเปล่า”
ตำแหน่งที่ควรมีคีย์เวิร์ด เช่น:
<title>
tag (ชื่อหน้าบนแถบเบราว์เซอร์)<h1>
(หัวข้อหลักของหน้า)ย่อหน้าแรกของเนื้อหา
URL
ชื่อไฟล์รูปภาพ (ถ้ามี)
alt
tag ของรูปภาพ
หลีกเลี่ยงการยัดคีย์เวิร์ดแบบไม่มีความหมาย หรือ keyword stuffing
2. เขียนเนื้อหาคุณภาพ มีคุณค่า และตอบคำถามผู้ใช้
Google วัด “คุณภาพเนื้อหา” จากหลายปัจจัย เช่น:
ความครอบคลุมของเนื้อหา (ตอบครบ ไม่ขาด)
ใช้ภาษาที่อ่านง่าย ชัดเจน
มีการจัดวางเนื้อหาเป็นหมวดหมู่ (ใช้ H2, H3)
ไม่คัดลอกเนื้อหาจากเว็บอื่น
มีความน่าเชื่อถือ (E-E-A-T: Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness)
3. ตั้งค่า Meta Title และ Meta Description ให้ดี
Meta Title ควรไม่เกิน 60 ตัวอักษร และต้องมีคีย์เวิร์ด
Meta Description ควรไม่เกิน 155-160 ตัวอักษร (หรือ ~120 ถ้าเขียนเป็นภาษาไทย)
เขียนให้ดึงดูดแต่ไม่หลอกลวง
Google อาจไม่ใช้ Meta Description ที่คุณเขียนเสมอไป แต่ถ้าเขียนดี ก็เพิ่มโอกาสคลิก (CTR)
4. ปรับโครงสร้าง URL ให้อ่านง่าย
URL ที่ดีควร:
สั้น ชัดเจน
ใช้คีย์เวิร์ดหลัก
ไม่มีพารามิเตอร์ซับซ้อนหรือตัวเลขยาว ๆ
ตัวอย่างที่ดี:yourdomain.com/วิธีทำกาแฟสด
ตัวอย่างที่ไม่ควรใช้:yourdomain.com/page?id=3489&ref=abc123
5. ใช้ Headings อย่างถูกลำดับ (H1, H2, H3)
Google อ่านหัวข้อจากโครงสร้าง <h1> ถึง <h6>
เพื่อเข้าใจว่าเนื้อหาแบ่งเป็นส่วนย่อยอย่างไร
ควรมีเพียงหนึ่ง <h1>
ต่อหนึ่งหน้า และใช้ <h2>
, <h3>
สำหรับหัวข้อรองแบบมีลำดับชั้น ไม่ใช้แค่เพื่อจัดฟอนต์ให้ใหญ่
6. ใส่ Internal Link และ External Link อย่างมีคุณภาพ
Internal link: เชื่อมโยงไปยังหน้าอื่น ๆ ในเว็บไซต์ของคุณ เพื่อสร้างโครงข่ายความรู้
External link: ลิงก์ออกไปยังเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ (เช่น Wikipedia, สำนักข่าว, งานวิจัย) เพื่อเสริมความน่าเชื่อถือ
7. ปรับภาพให้เหมาะสมกับ SEO
ใช้ชื่อไฟล์ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา เช่น
เครื่องชงกาแฟ.jpg
ใส่
alt text
ที่อธิบายรูปอย่างชัดเจนลดขนาดไฟล์ภาพให้โหลดเร็ว ไม่เกินจำเป็น
ใช้ WebP หรือ SVG ถ้าเหมาะสม
8. ทำให้หน้าโหลดเร็ว (Page Speed Optimization)
Google ให้ความสำคัญกับความเร็วของเว็บไซต์มาก โดยเฉพาะบนมือถือ
แนวทางที่ช่วยได้ เช่น:
ใช้ lazy load สำหรับภาพ
ลดการใช้ JavaScript ที่ไม่จำเป็น
ใช้ CDN และระบบแคช
เลือกโฮสติ้งที่มีคุณภาพ
9. รองรับการแสดงผลบนมือถือ (Mobile-Friendly)
ใช้ Responsive Design ให้หน้าปรับขนาดตามอุปกรณ์
สามารถทดสอบความพร้อมได้ที่ Google Mobile-Friendly Test
10. ใช้ Schema Markup (Structured Data)
Schema ช่วยให้ Google เข้าใจโครงสร้างข้อมูล เช่น บทความ, สินค้า, รีวิว ฯลฯ และแสดงผลแบบ Rich Snippets บนผลการค้นหา เช่น:
★ คะแนนรีวิว
วันที่เผยแพร่บทความ
ราคา/สต็อกของสินค้า
สามารถเพิ่มได้ด้วย JSON-LD หรือปลั๊กอิน SEO ใน WordPress
สรุป
การปรับ On-Page SEO ไม่ใช่เรื่องของเทคนิคอย่างเดียว แต่คือการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับทั้งผู้ใช้งานและ Google
หลักการง่าย ๆ คือ: “เขียนให้คนอ่าน แต่คิดให้ Google เข้าใจ”
เมื่อเนื้อหาดี โครงสร้างดี โหลดเร็ว และเป็นมิตรกับอุปกรณ์ทุกชนิด คุณก็ได้วางรากฐาน SEO ที่มั่นคงไว้แล้ว
ติดต่อเราได้ที่นี่🔻
IMPEL MARKETING บริการให้คำปรึกษาด้านธุรกิจออนไลน์
IMPEL MARKETING จากประสบการณ์ ด้านการตลาดออนไลน์มากกว่า 10 ปี
เราจะให้คำปรึกษาถึงแก่นการทำตลาดออนไลน์ให้คุณมียอดขายถึงขีดสูงสุดในทุกประเภทสินค้าและบริการ
- รับปรึกษาการตลาดสำหรับแบรนด์
- บริการโฆษณาออนไลน์
- รับทำเว็บไซต์
- รับเขียน App และระบบ IT สำหรับธุรกิจ SME
- รับทำ Content Marketing
- รับออกแบบกราฟิก / ทำสื่อสิ่งพิมพ์
- รับตัดต่อ ถ่ายภาพ / VDO / สื่อภาพเคลื่อนไหว
- รับแปล VDO หรือเอกสารภาษาอังกฤษเป็นไทย
การันตีผลงานทีมงานด้วยประสบการณ์กว่า 10 ปีเราสร้างยอดขายให้ธุรกิจมากกว่า 10 แบรนด์ ยอดขายรวมกว่า 500 ล้านบาท